หนึ่งในภาพจำของแพทย์แผนจีนที่หลายคนคุ้นตา คือการที่หมอจับข้อมือของผู้ป่วยอย่างตั้งใจ—สิ่งนั้นเรียกว่า “การแมะชีพจร” หรือที่ในภาษาจีนเรียกว่า 切脈 (Qiè Mài) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง และแม่นยำอย่างน่าทึ่ง

การแมะชีพจรคืออะไร?
การแมะ คือการ จับและวิเคราะห์ชีพจรที่ข้อมือ เพื่อประเมินสภาวะร่างกายและภาวะไม่สมดุลภายในของผู้ป่วย ไม่ใช่เพียงแค่การดูว่าชีพจรเต้นเร็วหรือช้าเท่านั้น แต่แพทย์จีนจะตรวจสอบ “ลักษณะ” ของชีพจร ซึ่งมีหลายสิบแบบ เช่น ชีพจรลอย ลึก แข็ง อ่อน หนัก เบา เร็ว ช้า ฯลฯ
ชีพจรในแพทย์แผนจีนมีกี่ตำแหน่ง?
แพทย์จีนจะจับชีพจรทั้ง สองข้างของข้อมือ โดยแบ่งเป็น 3 ตำแหน่งหลักต่อข้าง ได้แก่:
บริเวณข้อมือแต่ละข้างมี:
- ชุน (Cun) – ใกล้โคนนิ้วหัวแม่มือ
- กวน (Guan) – กลางข้อมือ
- ฉือ (Chi) – ใกล้ข้อพับศอก
โดยตำแหน่งแต่ละแห่งจะสะท้อนสภาวะของ อวัยวะภายในที่แตกต่างกัน เช่น:
- ซ้าย: หัวใจ ตับ ไต (หยิน)
- ขวา: ปอด ม้าม ไต (หยาง)
ตัวอย่างลักษณะชีพจร
แพทย์จีนมีคำศัพท์เฉพาะในการอธิบายชีพจรกว่า 28 แบบ ตัวอย่างเช่น:
- ชีพจรลอย (Fu Mai): อยู่ตื้น มักพบในคนเป็นไข้หรือมีพลังหยางมาก
- ชีพจรลึก (Chen Mai): ต้องกดลึกถึงจะรู้สึก มักเกี่ยวข้องกับอาการภายในหรือพลังหยินมาก
- ชีพจรเร็ว (Shuo Mai): บ่งบอกภาวะร้อนหรือการอักเสบ
- ชีพจรช้า (Chi Mai): บ่งชี้ว่าร่างกายมีความเย็นหรือพลังงานพร่อง
- ชีพจรอ่อน (Ru Mai): บอบบาง มักพบในคนอ่อนแอหรือเลือดพร่อง
แพทย์จะพิจารณาจากหลายปัจจัยร่วมกัน ไม่ใช่แค่ชีพจรใดชีพจรหนึ่ง
ทำไมจึงถือว่าแม่นยำ?
เพราะการแมะไม่ได้ดูแค่ “อวัยวะ” แต่ยังสามารถสะท้อนถึง:
- สภาพพลังงานในร่างกาย (Qi)
- การไหลเวียนของเลือด (Xue)
- ภาวะร้อน–เย็น ภาวะพร่อง–เกิน
- โรคเรื้อรังหรือการอ่อนแอของอวัยวะภายใน
ในผู้หญิง แพทย์จีนยังสามารถรู้ได้ถึงรอบเดือน การตั้งครรภ์ หรือภาวะเลือดพร่องจากการแมะเพียงอย่างเดียว!
การแมะดีอย่างไร?
✅ ไม่เจ็บตัว
✅ ไม่ต้องเจาะเลือด
✅ ประเมินสุขภาพได้แม้ไม่มีอาการชัดเจน
✅ เป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคู่กับการรักษา เช่น ฝังเข็มหรือการใช้สมุนไพร
ข้อควรรู้
การแมะชีพจรต้องอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์จีนอย่างมาก เป็นศาสตร์ที่เรียนรู้จากทั้งตำราและการปฏิบัติจริง จึงไม่สามารถ “จับชีพจรเองที่บ้าน” แล้ววินิจฉัยได้แม่นยำแบบแพทย์จีน
สรุป
การแมะชีพจร เป็นหัวใจของการวินิจฉัยในแพทย์แผนจีนที่ละเอียด ลึกซึ้ง และแม่นยำกว่าที่หลายคนคิด ศาสตร์นี้สะท้อนปรัชญาการมองร่างกายแบบองค์รวม และเปิดเผยภาวะภายในได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือไฮเทค แต่ใช้เพียงปลายนิ้วของผู้เชี่ยวชาญ




